สำนักพิมพ์มอเตอร์ไซค์สีแดง
การขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านเมืองที่มีไสยศาสตร์มากมาย
และดวงวิญญานเร่รอน..บรึ๋ย..
10 ธันวาคม 2018
สำนักพิมพ์มอเตอร์ไซค์สีแดง
การขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านเมืองที่มีไสยศาสตร์มากมาย
และดวงวิญญานเร่รอน..บรึ๋ย..
10 ธันวาคม 2018
วันนี้ เป็นวันที่แปดของการเดินทางกับทัวร์ในประเทศเวียดนาม ซึ่งประกอบไปด้วย มอเตอร์ไซด์สิบสี่คัน และรถยนต์สามคัน จะเป็นการเดินทางจากเมืองเปลกู ประเทศเวียดนาม เข้าสู่ประเทศลาวโดยผ่านเมืองอัตปือ ปากเซ และ สิ้นสุดการเดินทางที่ด่านช่องเม็กในจังหวัดอุบลราชธานีประเทศไทย ระยะทางประมาณห้าร้อยกิโลเมตร กูเกิลประมาณเวลาไว้ที่เก้าชั่วโมงสองนาที เป็นการเดินทางที่ยาวนาน...น่าจะเป็นวันที่ยาวนาน
เราเดินทางนับจากวันแรก เข้าสู่ประเทศลาว เข้าสู่ประเทศเวียดนาม วนไปยังเมืองเว้ ดานัง ฮอยอัน ญาจาง หมุยเน่ ด่าหลัต บวนมาถวด เปลกู รวมระยะทางจากบ้านที่เชียงใหม่ จนถึงก่อนออกเดินทางในวันนี้ ผ่านมา 3,237 กม.แล้ว วันนี้เป็นวันกลับและก็คงเป็นเพียงอีกวันหนึ่งของการเดินทาง มันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น
คำพูดของ นัยเจ้าของ ฮอนด้าฟอร์ซ่าขนาดสามร้อยซีซี ที่จังหวัดอุบลราชธานี หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้แล้ว ว่า “ผมเคยได้ยินว่าที่ลาวใต้ของแรง ไสยศาสตร์แรงครับ วันนี้เจอกับตัวเอง” ผมตอบสวนเข้าไปว่า “ทำไมไม่บอกก่อนวะ จะได้ไหว้พระ ไหว้เจ้าที่เจ้าทางให้เรียบร้อยก่อน”
ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากวันนั้น ผมมีโอกาสทานข้าวกับพระนักพัฒนาของประเทศลาวรูปหนึ่ง ท่านมาที่ จ.เชียงใหม่ “จากเหตการณ์เขื่อนแตก มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก” ท่านยังบอกอีก “มีคนหลายคนที่ผ่านไปแล้วก็เครื่องดับขึ้นมาเฉยๆ ในถนนนั้นที่เราไป...เป็นเพราะดวงวิญญาณ...ดวงวิญญาณที่ยังไม่ได้รับการทำบุญให้ ดวงวิญญาณไร้ญาติ ดวงวิญญาณเร่ร่อน”
สายชิลล์ออกเดินทางก่อนกำหนดหนึ่งชั่วโมง เพื่อจะแวะกินกาแฟท้องถิ่นและอาหารเช้าท้องถิ่นริมถนนซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เป็นการเริ่มวันที่ดี เรามาสู่จุดเช็คพอยท์แรกเป็นปั๊มน้ำมันก่อนถึงด่านเวียดนาม-ลาว ประมาณยี่สิบกิโลเมตร ด้วยความเรียบร้อย
จุดนัดพบที่สองคือด่านบ่ออี ที่เวียดนาม ความไม่ปกติก็เริ่มต้นขึ้น...เริ่มต้นขึ้นที่นี่ด่านชายแดนเวียดนาม-ลาว
เราชมชอบการขี่ชิลล์ จึงออกมาจากจุดนัดพบแรกก่อน ขี่ไปเรื่อยๆ ถนนลาดยางก็หมดลง ยังไม่พอเป็นทางขึ้นเขาที่มีความลาดชันอีกต่างหาก ผมจอดเจ้าดูคาตี้เหลืองถามคนแถวนั้น “บ่ออี?” เขาบอกให้ย้อนกลับไป เราย้อนกลับไปแต่ในที่สุดก็หลงทาง
จุดนัดพบที่สองปักไว้ผิดจุด ห่างออกไปจากด่านประมาณยี่สิบกิโลเมตร
ต้องคอยถามทางและอ่านป้ายอยู่สี่-ห้าครั้ง เสียเวลาไปเยอะมาก และคิดว่าเราต้องถึงด่านเป็นคันสุดท้ายแน่ๆ ... แต่เมื่อถึงด่านสำเร็จปรากฏว่า ผมมาถึงเป็นคันแรกของกลุ่มมอเตอร์ไซด์ ทุกคันประสบปัญหากับการหลงทาง และกว่าทุกคันจะมาถึงครบ เราก็เสียเวลาไปเกือบชั่วโมง
ทำเรื่องผ่านแดนเสร็จ พร้อมจะข้ามด่านเข้าสู่ประเทศลาว มอเตอร์ไซด์หนึ่งคันก็เกิดสตาร์ทไม่ติดขึ้นมาดื้อๆ อย่างไม่มีอาการใดขึ้นบอกมาก่อน
ไสยศาสตร์มีจริง และเริ่มขึ้นที่ชายแดนเลยทีเดียว...ไสยศาสตร์มีอาณาเขตที่ชัดเจนถึงเพียงนั้น
ก่อนจะมาทริปผมคุยกับคนที่จัดทริปไว้ก่อน หนึ่งผมทานมังสวิรัติ จัดให้ได้ไหม คำตอบคือได้...สอง ดูคาตี้เหลือง และเจ้านายของมัน พอใจที่จะขี่ชิลล์มาก จะเป็นปัญหาไหม คำตอบคือเวียดนามเป็นประเทศที่จำกัดความเร็วอย่างเคร่งครัด ไม่น่าเป็นปัญหา สามผมไม่มีทักษะขี่ออฟโรด ทริปนี้มีออฟโรดไหม คำตอบคือ เวียดนามถนนดี ไม่มีออฟโรด แต่ที่ลาวคาดเดาอะไรไม่ได้ แต่หากเจอทางแบบนั้น รถเซอร์วิส ซึ่งจะอยู่ข้างหลังพี่ ขี่ไม่ไหวเอาขึ้นรถได้เลย เมื่อคำตอบทั้งหมดถูกตอบจนเป็นที่พอใจ มั่นใจ สบายใจ เราก็ตัดสินใจไปชิลล์กัน
และทันที ที่จะข้ามด่านสู่ประเทศลาว ที่ของเจ้าดูคาตี้ และเจ้านายของมัน บนรถเซอร์วิสก็ถูกจับจองแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย...มันใส่ได้คันเดียว...คันเดียวเท่านั้น
แล้วเราก็ข้ามจากประเทศเวียดนามเข้าสู่ประเทศลาว
ไสยศาสตร์มีจริง และยังคงโชว์ศักยภาพอย่างต่อเนื่อง
มอเตอร์ไซค์ในกลุ่มเราลงข้างทางไปหนึ่งคัน คนที่ควบคุมมันอธิบายไม่ได้แน่ชัดว่าเพราะอะไร แต่โชคยังดี คนไม่เป็นอะไรมาก และมอเตอร์ไซค์ก็ไม่เป็นอะไรมาก พอจะขี่ต่อไปได้
แต่ไสยศาสตร์ก็ยังคงไม่พอใจ ยังคงเข่มน พวกเราอยู่อย่างต่อเนื่อง
ไกด์นิสัยดี สามีภรรยาคู่ที่น่ารัก ที่ดูแลเราเป็นอย่างดีตลอดทริปที่ผ่านมา...ลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ด่าน กระเป๋าตังค์ที่มีเงินจำนวนมาก เงินที่ใช้เวลาหามาตลอดทั้งปี
ไกด์ที่ดูแลเราเป็นอย่างดี เลยจำเป็นต้องย้อนกลับไป ทำให้พวกเราไม่ได้รับการดูแลในระดับที่เคยเป็นมา และต้องเดินทางกันต่อเพื่อไปร้านอาหารเที่ยงในเมืองอัตปือซึ่งเป็นจุดนัดพบที่สาม
การเดินทางไปจุดนัดพบที่สาม ที่อยู่ในเมืองอัตปือ มีความวุ่นวายอยู่บ้างเพราะรถหลายคันไม่มีระบบอินเตอร์เนทด้วยคิดว่าอยู่ในลาวเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ข้ามกลับเข้าสู่ประเทศไทย แต่ในที่สุด ทุกคนทุกคันก็มาถึงและกินข้าวกันในเมืองอัตปือ จากนั้นกลุ่มสายชิลล์ ก็เตรียมออกเดินทาง
ถนนมีสองเส้นทางตามคำแนะนำของกูเกิล แต่มีสามเส้นทางสำหรับกูเกิลของบางคน...ที่ไสยศาสตร์ท่านไม่เข่มนเอา ... หรืออาจเรียกว่ามีของดี ?
ความเดิมจากตอนที่แล้ว...ไสยศาสตร์มีจริงที่ประเทศลาว
มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเสียอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีเหตบอกล่วงหน้า , มอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งลงข้างทาง ไกด์ลืมกระเป๋าตังค์ที่มีเงินจำนวนมากไว้ที่ชายแดนประเทศเวียดนาม – ลาว
เรากำลังจะเดินทางจากเมืองอัตปือ จุดนัดพบที่สาม ไปยังจุดนัดพบที่สี่
ถนนมีสองเส้นทางตามคำแนะนำของกูเกิล แต่มีสามเส้นทางสำหรับกูเกิลของบางคน...ที่ไสยศาสตร์ท่านไม่เข่มนเอา ... หรืออาจเรียกว่ามีของดี ?
เส้นทางแรก
จากอัตปือ ใช้ถนนหมายเลข 18 ผ่านเมืองสะหนามไซ มุ่งหน้าสู่ถนนหมายเลข 13 เพื่อเข้าสู่เมืองปากเซ และเข้าสู่ถนนสาย 16W เข้าสู่ด่านช่องเม็ก ระยะทาง จากจุดนัดพบสามคือ 200 กิโลเมตร เวลาห้าชั่วโมงสองนาที
ซึ่งเส้นทางนี้คือเส้นทางที่พระท่านได้กล่าวถึง ... เส้นทางที่มีดวงวิญญาณเร่ร่อน
เส้นทางที่สอง
จากอัตปือ ใช้ถนนสาย 11 ต่อด้วยสาย 16 ผ่านเมืองปากซ่องเข้าสู่ถนนสาย 16E มุ่งหน้าสู่ปากเซ และเข้าสู่ 16W เข้าสู่ด่านช่องเม็ก ระยะทางจากจุดนัดพบสามคือ 250 กิโลเมตร เวลาสี่ชั่วโมงสิบหกนาที
เส้นทางที่สาม
จากอัตปือ ใช้ถนน 11 ตัดผ่านอุทยานแห่งชาติ ผ่านเมืองปากซ่อง แล้วก็เหมือนเส้นทางที่สอง เส้นทางนี้ Google ไม่ขึ้นให้ แต่เป็นเส้นทางที่ทัวร์กำหนดไว้ให้วิ่ง...แต่...
ต้องเท้าความไปใน วันที่สี่ของการเดินทาง ซึ่งเป็นการเดินทางจาก ฮอยอันไปญาจาง ระยะทางประมาณห้าร้อยกิโลเมตร เส้นทาง QL14 คือเส้นทางที่ถูกกำหนดให้ใช้ มันผ่านเมืองหลายเมือง จึงมีรถหนาแน่น เมื่อเวลาผ่านไปเกือบครึ่งทาง สมาชิกกลุ่มหนึ่งก็เห็นว่ามีอีกเส้นทางหนึ่งตัดผ่านภูเขา รถน่าจะน้อยเลยไปวิ่งกันที่เส้นทางนั้น
หลังจากวันนั้น (ไอ่)แมน ชายร่างใหญ่ จิตใจดี ผู้ครอบครองยามาฮ่า เทเนเร่ พันสองร้อยซีซี สองสูบเรียง ขับเคลื่อนด้วยเพลา และควบคุมมันได้ดั่งใจคิด ก็แจ้งอย่างชัดเจนว่า พวกเราไม่ควรวิ่งออกนอกเส้นทางอีก
เราเห็นด้วย
กลับมาที่ อัตปือ เราอยู่ที่ร้านอาหารเที่ยง ซึ่งเป็นจุดนัดบที่สาม เรามีทั้งหมดห้าจุดนัดพบ
จุดนัดพบที่สี่ถูกกำหนดลงในตำแหน่งใกล้ถนนสาย 18 ดูก็เข้าใจได้อย่างตรงไปตรงมาว่า แผนการวิ่งคือเส้นทางแรก วิ่งบนถนนสาย18 สายที่มีดวงวิญญานเร่ร่อน...ไม่ใช่เส้นทางที่สาม
และเราจะไม่วิ่งออกนอกเส้นทาง
ไกด์ชาวเวียดนามที่ดูแลเราเป็นอย่างดีมาตลอดยังคงอยู่ระหว่างการเดินทางกลับไปเอากระเป๋าตังค์ที่ลืมไว้ หากไกด์ท่านนี้ยังอยู่ เขาคงจะเคลียเส้นทางได้เป็นอย่างดีเหมือนทุกๆวัน ... แต่เขาไม่อยู่ และใครจะไปรู้ว่าถนนสาย 18 นอกจากพระท่านจะบอกไว้ว่าเป็นสายดวงวิญญานเร่ร่อนแล้ว มันก็ควรจะมีชื่อตั้งให้อีกชื่อหนึ่งว่าถนนสายปารีส ดักการ์
เรา มอเตอร์ไซด์สิบคัน รถยนต์ หนึ่งคัน ทันทีที่เราเลี้ยวเข้าสู่ถนนสาย 18 ก็พบว่าเป็นถนนที่ราบเรียบ...ไม่มีหลุมบ่อ...เพียงแต่มันราบเรียบไปด้วยกรวด หินและดิน สะพานข้ามแม่น้ำทุกแห่ง เป็นสะพานไม้แบบสะพานชั่วคราว ตาปูและน็อทถูกไม้งัดขึ้น พร้อมโผล่มาทิ่มแทงยางมอเตอร์ไซค์ของเรา
ทั้งถนนและสะพาน ไม่มีส่วนที่เป็นคอนกรีตหรือราดยาง ไม่มีแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
ส่วนคันที่มีของดี ไสยศาสตร์ไม่แตะต้อง ประกอบด้วยมอเตอร์ไซด์ 4 คัน และรถเซอร์วิส ซึ่งวิ่งเส้นทางที่สอง กับเส้นทางที่สาม เวลาบ่ายแก่ๆ ทั้งหมดถึงเมืองปากเซเรียบร้อยตามกำหนดการณ์ ที่บริษัททัวร์ได้วางไว้
เราหวังว่าถนนแบบนี้คงมีระยะไม่ไกล เพราะมันเหมือนถนนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คงมีเพียงห้า กม. หรือ เจ็ด กม. เต็มที่ก็ สิบ กม. แต่เราเข้าใจผิด เข้าใจผิดเป็นอย่างยิ่ง
วิ่งออกมาได้สักพัก สองพัก สามพัก มอเตอร์ไซด์บางคันก็เผชิญกับปัญหายางรั่ว และเมื่อเราขี่มาได้ในเวลาพอสมควร เราก็มาถึงสะหนามไซ เราแวะถามทางที่นี่ และได้ความว่าไปอีก 12 กม.ทางน่าจะดีขึ้น เราก็กัดฟันลุยกันต่อไป...
เราอดทนขี่ไปอีกสักพัก ถนนก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นแต่ตรงกันข้าม...มันแย่ลง มีโคลนอยู่ข้างหน้า ระยะทางยาวประมาณ สองสามร้อยเมตร มอเตอร์ไซด์ทุกคัน รวมทั้งฮอนด้าฟอร์ซ่าสามร้อยซีซีของนัย ข้ามไปได้ เมื่อผมมาถึง ขาขวาก็วางลงบนพื้นโดยอัติโนมัติ มือกำคลัชไม่ยอมปล่อย...ผมประเมินว่า มันคงไม่ได้ยาวแค่สองสามร้อยเมตร เพราะมองไปลิบตาเห็นรถกำลังค่อยๆคลานไปอยู่
เมื่อรถทุกคันข้ามไปเสร็จ ผมก็ยังคงหยุดรออยู่ที่เดิม...สองชั่วโมงแล้วที่ขี่มา สายตา ไฟหน้า หัวใจ และ เครื่องยนต์ มุ่งตรงไปข้างหน้า แต่มาถึงจุดนี้ หัวใจกำลังบอกสายตา ให้เริ่มมองหาทางอื่น หมดความประสงค์ที่จะเดินหน้าต่อไปในทางนี้ นี่คือมอเตอร์ไซด์ ดูคาติที่สวยงาม และที่ควบคุมมันคือเจ้านายของมัน ที่ชื่นชมในความสะอาดของ มือ เท้า และเครื่องแต่งกาย
สภาพนี้...โคลนเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ ไม่ใช่หนทางของเรา
ปารีส ดักการ์ สำหรับเราสอง เหมือนน้องอั้มพัชราภา... คือ... มีไว้ดู ไม่ได้ไว้ลิ้มลอง ...
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
ไสยศาสตร์แสดงศักยภาพอย่างยอดเยี่ยมที่นี่
มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเสียอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีเหตบอกล่วงหน้า , มอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งลงข้างทาง ไกด์ลืมกระเป๋าตังค์ที่มีเงินจำนวนมากไว้ที่ชายแดนประเทศเวียดนาม – ลาว และเราติดอยู่บนถนนสาย 18 ถนนที่พระท่านบอกภายหลังว่ามีดวงวิญญาณเร่ร่อนมากมาย
นัยมองกลับมาจากระยะทางไกล เล่าให้ฟังภายหลังว่า มองมาก็รู้แล้วว่าพี่คงไม่ไปต่อละ...เราคงไปด้วยกันมาหลายทริป
ขาซ้ายเตะขาตั้งลง สายตามองไปข้างหลัง…หวังเป็นอย่างยิ่งว่า...จะเห็นรถเซอร์วิสสีขาวคันนั้น เชฟโรเลตที่พร้อมแก้ปัญหา...เชฟโรเลตที่สวยงาม...แต่เชฟโลเรทมีของดี เชฟโรเลทไม่ได้มาทางนี้
แต่ที่ตามมาทางนี้คือเมฆฝนดำ ขนาดมหึมา มองอยู่ก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี เข้าใจได้เป็นอย่างยิ่ง ฝนกำลังตกอย่างหนัก เมฆฝนนั้นดำใหญ่มหึมา และทั้งหมดนั้นกำลังมุ่งหน้ามาทางเรา ดูคาติสีเหลืองกับเจ้านายของมัน เสียงอันดุดันของมันแผ่วเบาลง และเจ้านายมันก็...แหงนหน้ามองฟ้า...เริ่มจะขุ่นเคืองพระเจ้า
แต่ก็นั่นแหล่ะ พระเจ้าคงอยากให้เปลี่ยนวิธีคิด หาทางเลือกอื่นจะดีกว่า แต่บางทีแถวนี้อาจไม่ใช่เขตบังคับควบคุมของท่าน ...แต่เป็นเขตของไสยศาสตร์
นัย ยืมบีเอ็มดับบลิวเอฟแปดร้อยจีเอสของพี่สังวาร ขี่ย้อนกลับมา ผมบอกนัยว่า “บอกทุกคนให้ไปเถอะ เดี๋ยวจะมืดก่อน ผมจะหาทางไปต่อเอง ผมจะแก้ปัญหาของผมเอง” คิดในใจเราจะเคลียกับพระเจ้าเอง ... ทุกคนผ่านไปได้เราผ่านไปไม่ได้ ... พระเจ้าไม่ได้มีปัญหากับใครนอกจากเรา
นัยขี่เอฟแปดร้อยจีเอสกลับไป ไปเอาฟอร์ซ่าสามร้อยมา “ผมจะไปกับพี่...” ดูคาตี้เหลืองและเจ้านายของมันยังคงซาบซึ้งใจอยู่จนถึงทุกวันนี้
หันหัวเจ้าดูคาตี้เหลืองกลับ ขี่ย้อนมาเจอบ้านพักคนงานก่อสร้าง ฝนกำลังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา จนรับรู้ได้ถึงละอองของมัน เรามองเห็นปั๊มน้ำมันร้าง เลยขี่เข้าไปจอดใต้หลังคา คิดในใจ...ข้างหน้าก็ไปไม่ได้ ข้างหลังก็กลับไม่ได้ คืนนี้นอนยังไงก็ไม่รู้ ถุงนอนก็ไม่มี เต้นท์ก็ไม่มี
พระเจ้ากับไสยศาสตร์คงกำลังเคลียกัน ... แต่ผมก็ไม่รอ... ในปั้มน้ำมันร้างนั้นมีรถกระบะจอดอยู่หลายคัน ผมเริ่มเดินถาม หาเจ้าของรถกระบะเหล่านั้น
“ทุกคันในปั๊มน้ำมันนี้ คือรถที่เสียทั้งหมด วิ่งไม่ได้สักคัน” ผมเดินออกนอกปั๊ม มองหารถที่ดูน่าจะวิ่งได้ ใหญ่สักหน่อยก็ดี คันนี้ของใคร คันนี้ของใคร ในที่สุด มีคนหนึ่ง คิดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าคนงาน เดินเข้ามาคุยด้วย ผมบอกว่าเราต้องการรถกระบะเอามอเตอร์ไซด์ใส่เข้าไป แล้วเดินทางไปปากเซ เขาบอกว่า
“ปากเซไปไม่ได้ ไปได้แต่อัตปือ”
อีกสองชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะลับขอบฟ้า และนี่ไม่ใช่สถานที่ที่ควรจะอยู่ในเวลากลางคืน “ไป” ผมตอบแทบไม่คิด
อัตปือ ที่กินข้าวเที่ยงที่ผ่านมาน่ะ ดูยังไงก็มีโรงแรมแน่ๆ ตกลงค่ารถกันได้ ถึงแม้จะรู้สึกว่ามันแพง แต่ผมก็ยืนยัน “ไป” เมื่อได้รถแล้วก็กลับไปที่รถ เตรียมพร้อม นัยยังไม่มา...
นัยกำลังฟัดกับไสยศาสตร์และดวงวิญญาณเร่ร่อนอยู่ทีเดียว
เจ้าฟอร์ซ่าสามร้อยติดโคลนขณะที่ขี่กลับมา จมลงไปครึ่งล้อ หลังจากพยายามอย่างเต็มที่ที่จะผลักดันให้มันหลุดออกมา มันก็ไม่สำเร็จ นัยใช้กำลังทั้งหมดจนเหงื่อไหลไคลย้อย มันก็ไม่หลุดออกมา
แต่เจ้าฟอร์ซ่าสามร้อย และเจ้านายคงมันยังไม่ยอมแพ้
ยังคงทุ่มเทพลังทั้งหมดของมัน ทุ่มเทม้าทุกตัวของมัน ร่วมกับสองแขนสองขาของเจ้านายของมัน แต่ก็ยังไม่สามารถออกมาจากโคลนนั้นได้
คาดว่าพระเจ้ากับไสยศาสตร์คงบรรลุถึงข้อตกลงหยุดยิง...
ในที่สุดก็มีรถอีแต๋น ที่เรียกว่ารถบั๊คผ่านมา นัยขอรถบั้คเอาเชือกมัดลากขึ้นมาให้....
หลังจากที่ได้ม้าจากรถบั๊คมาช่วย ร่วมกับพลังทั้งหมดของเจ้าฟอร์ซ่า และเจ้านายของมัน เจ้าฟอร์ซ่าสามร้อยก็ก็ขึ้นมาจากโคลนได้เป็นผลสำเร็จ เนื้อตัวของเจ้าฟอร์ซ่าสามร้อยเละตุ้มเป๊ะทีเดียว
ผมบอกข่าวดีกับนัยโดยทันที
“เราได้รถกระบะแล้ว นี่คือรถของเรา เราจะเอารถขึ้นคันนี้ไป แล้วเดินทางไปอัตปือ” นัยถามกลับว่า “เราทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ”
พี่สังวารขี่บีเอ็มดับบลิวเอฟแปดร้อยย้อนกลับมา โดยพาพี่บั้มที่ขับรถกระบะมาเที่ยวกับครอบครัวมาด้วย “เดี๋ยวพี่บั้มจะขี่ให้ ผมไปขับรถกระบะแทน เรายังมีเวลา ด่านเปิดถึงสี่ทุ่ม เราน่าจะข้ามแดนกันได้ในคืนนี้” การย้อนกลับมาจะต้องทำให้กลุ่มเสียเวลาไปหลายสิบนาที... ผมพยายาม คุยกับคนขับรถ โดยไม่ให้หัวหน้าคนงานได้ยิน
พยายามผลักดันให้ไปข้างหน้า ให้ไปปากเซ
คนขับยืนยันหนักแน่นมากกว่าหัวหน้าคนงานอีก..
“ข้างหน้าไปไม่ได้...ทางขาด”
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
ไสยศาสตร์ และดวงวิญญาณเร่ร่อนที่ประเทศลาวกำลังเข้มข้น
มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเสียอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีเหตบอกล่วงหน้า , มอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งลงข้างทาง ไกด์ลืมกระเป๋าตังค์ที่มีเงินจำนวนมากไว้ที่ชายแดนประเทศเวียดนาม – ลาว และเราติดอยู่บนถนนสาย 18 ถนนที่พระท่านบอกภายหลังว่ามีดวงวิญญาณเร่ร่อนมากมาย ... เรายังคงพยายามผลักดันให้ไปข้างหน้า แต่เราถูกบังคับให้กลับไปข้างหลัง
กลับก็กลับ อัตปือ ก็ อัตปือ ... เราเลยถูกคนขับรถสรุปให้ว่า...ต้องกลับไปตั้งหลักที่อัตปือ
เมื่อพี่ทั้งสองเห็นว่าเราน่าจะเอาตัวรอดได้แล้ว เขาจึงออกเดินทางมุงหน้าสู่ปากเซ และก่อนพระอาทิตย์จะลับของฟ้าเล็กน้อย พระเจ้ากับไสยศาสตร์คงมีความคืบหน้าในการเคลียกัน ... เรามุ่งหน้าสู่อัตปือ
เมื่อรถออกไปสักพัก เราก็มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะให้ชะตาชีวิต หัวเราะกันสักพักนัยก็บอกว่า “ไอ่แมน มึงอยู่ไหน มึงไม่มาทางเดียวกับกู” ตอนนั้น นัยใส่เสื้อที่ไอ่แมนออกแบบไว้อยู่ เป็นเสื้อที่สวยงาม เสื้อสวยงามที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ “ไอ่แมน เสื้อมึง กูไม่ใส่แล้ว” ว่าแล้วก็ถอดเสื้อ เขวี้ยงออกนอกหน้าต่างไป แล้วเราก็หัวเราะเสียงดังเคล้าน้ำตากันต่อ
ด้วยความเหนื่อยล้าของเรา จึงตกลงกันว่า คืนนี้เพียงตั้งเป้าหมายว่าหาโรงแรม พักผ่อน พรุ่งนี้หลังอาหารเช้าเราค่อยวางแผนกันใหม่
เราเริ่มศึกษาเมืองอัตปือจากมือถือขณะนั่งในรถ อัตปือเป็นเมืองที่น่าสนใจ และไม่ใช่เมืองที่เล็กมากนัก มีสนามบิน ดูจากกูเกิลแล้วมีแม่น้ำโค้งรอบเมือง น่าจะเป็นเมืองที่สวยทีเดียว เรามั่นใจว่าจะหาโรงแรมได้ในอัตปือ จัดการตัวเองให้หายเพลีย ศึกษาเส้นทางใหม่ ตรวจสอบรถให้พร้อม ถ้ารถไม่พร้อม เราก็มั่นใจว่าจะหารถกระบะขนไปที่ชายแดนได้ ทุกอย่างน่าจะทำได้ที่อัตปือ
พระเจ้ากับไสยศาสตร์ คงบรรลุถึงข้อตกลงสันติภาพ
ในเวลาประมาณสองทุ่มนิดๆ เราก็มาถึงโรงแรม
แม้ว่านัยเหนื่อยมากจนแทบจะเป็นลม ก็ยืนยันว่าจะเอารถลงก่อนแล้วค่อยหาอะไรกิน
เมื่อเราเอารถลงเสร็จ นัยก็นั่งกินมาม่า โทรศัพท์ก็เชื่อมต่อกับอินเตอร์เนทที่ความเร็วพอใช้ได้ ผมก็เริ่มทำความเข้าใจเหตการณ์ ซึ่งปรากฏว่ามีสามกลุ่ม
กลุ่มแรก มอเตอร์ไซค์สี่คัน ถึงที่พักในปากเซเรียบร้อย พร้อมรถเซอร์วิส , ไกด์ได้รับกระเป๋าตังค์คืนเรียบร้อย เงินไม่ได้หายไป และถึงที่พักในปากเซเรียบร้อย ยังคงรอกันอยู่ ไม่ได้ข้ามแดนออกไปตามกำหนด
กลุ่มที่สอง มอเตอร์ไซค์แปดคัน รถยนต์หนึ่งคัน อยู่ระหว่างการเดินทาง ยังติดต่อไม่ได้
กลุ่มที่สาม มอเตอร์ไซค์สองคัน ดูคาตี้เหลือง กับฟอร์ซ่าสามร้อย , ผมกับนัย เราอยู่ในโรงแรม ในเมืองอัตปือ
ผมสื่อสารกับแมน ด้วยสงสัยว่าเหตใดเราจึงไม่อยู่ในเส้นทางเดียวกัน
แมนอธิบายว่า พอคลาดกันกับกลุ่ม ก็ดูกูเกิล ซึ่งกูเกิลก็บอกให้ไปทางนั้น แล้วอธิบายต่อว่าไม่ได้ตั้งตำแหน่งที่จุดนัดพบสี่ แต่ตั้งที่จุดนัดพบห้าไปเลย
นัยกินมาม่าเสร็จ เราจอดรถไว้ในที่ที่ มั่นใจว่าปลอดภัย แล้วจึงขึ้นห้อง เสื้อผ้านัย...อยู่ในรถ Service ผมแบ่งกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดใหม่ให้นัย แปรงสีฟันโรงแรมมีให้ อาบน้ำเสร็จก็หลับโดยไม่ทันได้ปิดไฟ
ผมทำความเข้าใจเหตุการณ์ผ่านไลน์ต่อ...สงสัยว่าไอ่แพททริค (ไอ่แพททริคเป็นใคร มาจากไหน และมีไลฟ์สไตล์ที่ยอดเยี่ยมอย่างไร จะหาโอกาสเล่าให้ฟังภายหลัง) ซึ่งเข้าไปในเส้นทางที่เราวิ่งแล้ว แต่เหตุใดจึงเปลี่ยนเส้นทาง...ซึ่งก็ได้รับคำตอบ...คำตอบที่พระที่เราพบในหนึ่งเดือนให้หลังเป็นคนตอบ
วิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นไม่ได้เรียกไป…
แพททริคตอบว่า “ไอโชคดีมากว่ะ ..ไอขี่รถไปเรื่อยๆ ปรากฏว่ามีคนเรียกให้ไอจอด แล้วบอกว่า อย่าไปทางนี้เลย ไปอีกทางหนึ่งดีกว่า” ...แพททริคเป็นคนอเมริกัน และ คนที่เรียกให้แพททริคจอดก็เป็นคนอเมริกัน
ผมถามให้ชัดๆ อีกครั้งว่า “ยูจอดถามทางเค้ารึเปล่า” แพททริคยืนยันว่า “ไม่ได้ถาม แต่ถูกเรียกให้จอด...ถึงได้บอกว่าฉันโชคดีมาก”
จีซัสไครสท์ ช่วยมันไว้ แต่ถึงแม้ผมจะเป็นชาวซิกซ์ และนัยจะเป็นชาวพุทธ เราก็เติบโตมาในโรงเรียนคริสต์ และพอมีคอนเนคชั่นกับพระเจ้าอยู่บ้าง...พระเจ้าไม่น่าทอดทิ้งเรา พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา นี่คงเป็นเรื่องราวที่เราคงทำความเข้าใจได้ในภายหลัง...
แต่ไอ่แมนล่ะ วิญญาณเร่รอนน่าจะเรียกไอ่แมนไป มั่นน่ะสมควรจะถูกเรียกมากที่สุด
เวลาที่ไกด์แนะนำศาลเจ้า เล่าประวัติต่างๆให้เราฟัง เราก็เข้าไปไหว้ ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอวยพรให้ทุกคนปลอดภัย ให้ทุกคนมีความสุข ให้ทุกคนสนุกสนานไปกับทริป
ไอ่แมนมันก็จะบอกด้วยสำเนียง หนุ่มใต้พูดกลางออกประชด ประชัน หน่อยๆ
ฟังแล้วขึ้นได้ง่ายๆ
“พี่ ขอพรเป็นภาษาอะไร”
“ภาษาไทย”
“สมมติถ้าพี่ไปเที่ยวอย่างมาเวียดนามเนี่ย พี่นั่งอยู่ในรถ มีคนขับ คนขับรถพูดภาษาไทยไม่ได้ พี่บอกเขาเป็นภาษาไทย เค้าจะฟังพี่เข้าใจมั้ย”
“ไม่เข้าใจ”
“แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พี่ขอพรน่ะ เค้าจะฟังพี่เข้าใจมั้ย ...”
มันนั่นแหล่ะ ควรจะถูกเรียกมากที่สุด มันนั่นแหล่ะ...
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
ไสยศาสตร์ และดวงวิญญาณเร่ร่อนที่ประเทศลาวกำลังเข้มข้น
มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเสียอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีเหตบอกล่วงหน้า , มอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งลงข้างทาง ไกด์ลืมกระเป๋าตังค์ที่มีเงินจำนวนมากไว้ที่ชายแดนประเทศเวียดนาม – ลาว เราเริ่มจะแก้ปัญหาได้บนถนนสาย 18 ถนนที่พระท่านบอกภายหลังว่ามีดวงวิญญาณเร่ร่อนมากมาย ... เพียงแต่เราถูกบังคับให้กลับไปข้างหลัง ไปตั้งต้นใหม่ แต่บางคน...มีของดี ผ่านไปได้แบบชิลล์ชิลล์
กลับมาที่อัตปือสถานการณ์ของเราเริ่มคลี่คลายลง และเราอยู่ในห้องพิเศษของโรงแรม ห้องสูท ตัวท็อป ราคาหลายหมื่น เป็นห้องที่แพงที่สุดของโรงแรม มีฝักบัว มีอ่างอาบน้ำ มีแอร์... และมีน้ำรั่ว...รั่วมาที่กลางเตียงผมพอดี...
ไม่เป็นไร ผมลากเตียงหลบน้ำรั่วแล้วเข้าไปอาบน้ำ
ห้องน้ำอย่างดี มีอ่างจากุซซี่ พร้อมฝักบัว แต่เปิดไป ไม่ออกซักอย่าง เข้าใจได้ทันที มีถังน้ำ ขันน้ำ และ ก๊อกน้ำ...เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ตักน้ำอาบจากถัง ในอ่างจากุซซี่...เป็นห้องพิเศษจริงๆ จากนั้นก็นอนรอ กลุ่มที่สอง รอให้เขาติดต่อมา
ประมาณสี่ทุ่ม กลุ่มที่สองก็ติดต่อมา บอกว่าอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงคงถึงปากเซ ทางแย่มาก ทุกคนเหนื่อยมาก ล้มกันแทบทุกคัน แต่เป็นการล้มที่ไม่รุนแรง เป็นการล้มเพราะลื่นโคลน แต่ถึงแม้จะล้มกันไม่แรง มันก็โหดร้ายด้วยเวลาที่ใช้ไปถึงสิบชั่วโมงจากอัตปือ และยังต้องวิ่งตอนกลางคืนประมาณครึ่งหนึ่ง
เป็นวันที่โหดร้าย บนเส้นทางที่โหดร้าย
และในเวลาใกล้เที่ยงคืน ทุกคนก็ถึงปากเซกันด้วยความปลอดภัย
สะบักสะบอม ... แต่ปลอดภัย
ผมทราบภายหลังว่า มีอยู่หนึ่งคันที่ไม่บอบช้ำ...ไม่เป็นอะไรเลย...เสมือนขี่รถอยู่บนถนนไฮเวย์...
พี่สังวาร ผู้รักการขับขี่มอเตอร์ไซด์ที่ชอบเดินทางเข้าไปในป่า กับ บีเอ็มดับบลิวเอฟ แปดร้อย จีเอสสองสูบเรียงขนาดแปดร้อยซีซี ซึ่งพี่สังวารชอบมาก มีไว้ครอบครองรุ่นเดียวกันถึงสองคัน
ไม่ลื่นล้ม ไม่มีประเด็น รถก็ไม่เปื้อนมาก ผ่านสถานการณ์ไปราวกับถนน...ราบเรียบ
บางคนเรียกว่าพี่สังวารสายป่า แต่ผมขอเรียกว่าพี่สังวารเจ้าป่า น่าจะเหมาะที่สุด
เมื่อทราบว่าทุกคนปลอดภัย ผมก็เข้านอนเช่นกัน...ก่อนนอนแพททริคบอกในไลน์ว่า “ไอเป็นห่วงพวกยูว่ะ แต่ถ้าพวกยูปลอดภัยแล้วก็ดี...ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีในวันพรุ่งนี้...” เป็นคำอวยพรก่อนนอนที่ดี และคงเป็นด้วยจีซัสไครสท์ดูแลมันเป็นอย่างดี เมื่อพรุ่งนี้มาถึงมันก็ดีอย่างที่แพททริอวยพรไว้จริงๆ
เจ็ดโมงเช้า เราอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย อยู่ระหว่างการเก็บของ เตรียมเช็คเอาท์ และเมื่อเปิดประตูห้องออกไป แมนมาถึงแล้ว มาถึงพร้อมกับกระบะสองคัน หนึ่งคือรถเซอร์วิส และอีกหนึ่งคือรถของไกด์ในลาว
ทั้งสองคันว่าง...และพร้อมจะเอารถเราขึ้นไป...
เจ็ดโมงเช้า แสดงว่าเขาต้องออกมากันตั้งแต่ตีสามตีสี่ทีเดียว...
เมื่อฮอนด้าฟอร์ซ่าสามร้อยและดูคาติสแครมเบลอร์พันหนึ่งร้อย ขึ้นรถกระบะเรียบร้อย เราก็ออกเดินทาง โดยแวะดื่มกาแฟที่อเมซอนในปั๊มปตท.ในอัตปือ...
เราผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายไปแล้ว บอบช้ำ แต่ก็ผ่านไปแล้ว
หลายคน รวมทั้งพี่สังวาร ยังคงรอเรา ไม่ข้ามด่านกลับไป จะต้องกลับไปพร้อมกัน ซึ่งเรานับถือน้ำใจของเขามาก เมื่อเรามาถึงปากเซ เราก็เอารถเราลง เอารถคันที่เสียเมื่อวานขึ้นแทน แล้วทุกคนที่เหลือก็ข้ามแดน โดยคันสุดท้ายข้ามมาในเวลาประมาณบ่ายสองโมงคือพี่สังวารเจ้าป่า...สายป่าย่อมไม่ทอดทิ้งกัน
ข้ามมาที่ประเทศไทยเรียบร้อย เรานัดดื่มกาแฟเพื่อแยกย้ายลาจาก ซึ่งเราได้รับคำแนะนำที่ดีจากพี่สังวาร
“ถ้าจะขี่เที่ยวค่อยขี่กลับ ถ้าจะขี่กลับเอาใส่รถกลับดีกว่า”
เช้าวันถัดมา เจ้าดูคาตี้เหลือง และฟอร์ซ่า ก็อยู่บนรถกระบะ พร้อมเดินทางจากอุบลราชธานีสู่เชียงใหม่
เราก็ขึ้นเครื่องบินเดินทางจากอุบลราชธานี สู่ดอนเมือง
ที่ดอนเมือง ระหว่างที่รอเครื่องเพื่อจะไปเชียงใหม่ ด้วยฝีมือการเลือกร้านกาแฟของนัย ซึ่งเลือกได้เป็นอย่างดี .... น้องเชียร์ขนมมีเสน่ห์ที่น่าชื่นชมมาก ขนมก็อร่อยอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะพึ่งผ่านอัตปือที่ไร้แสงสีและขนมระดับเทพมาเมื่อสองวันก่อน
เราสองคนคุยกันที่สนามบินดอนเมืองอย่างออกรสชาติ “นัย ถ้าคุณเพิ่มทักษะในการทำงาน ในการพูดภาษาอังกฤษ และผมเพิ่มทักษะในการขี่มอเตอร์ไซค์ .... โลกนี้น่าจะเป็นของเรา” นัยพึงพอใจ หัวเราะเสียงดัง ผมพึงพอใจ หัวเราะเสียงดัง อดีตอันขมขื่นที่อัตปือเราก็ผ่านมาได้
น้องเชียร์ขนมก่องาม ขนมก่อลำ อนาคตก่อเป็นของเฮา ชีวิตสวยสดงดงามรื่นรมย์สมอุราจ๊าดนัก
ไสยศาสตร์คงนั่งเครื่องบินมาด้วยจากอุบล ... เราตกเครื่อง ...
ดูแล้วก็เข้าใจได้เลยว่าไสยศาสตร์ท่านนั่งมากับใคร
“ไอ่นัย ... เสื้อมีตั้งหลายตัว จะใส่เสื้อลาวทำไมวะ”
สำนักพิมพ์มอเตอร์ไซค์สีแดง - สั่งซื้อหนังสือง่ายๆ สบายใจ
Red Motorcycle Publishing House - Buy English Book
© Copyright Red Motorcycle Publishing House Company limited, 2021. All rights reserved.
สงวนลิขสิทธ์โดย บริษัท สำนักพิมพ์มอเตอร์ไซค์สีแดง จำกัด